ฟ้าขาวคว้าชัยไปแบบขาดลอย 3-0 ในเกม ฟุตบอลโลก2022

ตบเท้าเข้าชิงชนะเลิศจนได้สำหรับ อาร์เจนตินา ที่แม้จะเปิดตัวได้เลวร้ายถึงขนาดแพ้ ซาอุดิ อาระเบีย แบบช็อกโลก แต่สุดท้ายพวกเขาก็ฉกฉวยความผิดพลาดของ โครเอเชีย คว้าชัยไปแบบขาดลอย 3-0 ในเกม ฟุตบอลโลก 2022 รอบรองชนะเลิศคู่แรกซึ่งโม่แข้งกันเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา

 

1.ฟ้าขาว ดร็อป มาร์ติเนซ

ลิโอเนล สกาโลนี่ กุนซือทีมชาติ อาร์เจนติน่า เปลี่ยนโผ 11 คนแรกสองรายจากเกมในรอบแปดทีมสุดท้ายนัดดวลลูกโทษสยบ ฮอลแลนด์ ชนิดดุเดือดเลือดพล่าน ในจำนวนนี้ ลิซานโดร มาร์ติเนซ เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ แมนฯ ยูไนเต็ด ถูกจับให้กลับไปรับบทตัวสำรอง ขณะที่ มาร์กอส อคุนญ่า แบ็คซ้ายติดโทษแบนลงบู๊ไม่ได้ และส่งผลให้ เลอันโดร ปาเรเดส กับ นิโกลัส ตายาฟิโก้ ได้ออกสตาร์ต รวมทั้งมีการปรับมาเล่นในระบบแบ็คโฟร์แทนหลังห้าโดยที่ อังเคล ดิ มาเรีย ยังเป็นตัวสำรองเหมือนเดิม

2.โครแอต ปึ้กยิ่งกว่าปึ้ก

เป็นไปตามความคาดหมายที่ ซลัตโก้ ดาลิช กุนซือทีมตาหมากรุกสามารถส่งทีมชุดเดิมที่น็อค บราซิล ด้วยการดวลลูกโทษลงเล่นในรอบตัดเชือกได้เนื่องจากพวกเขาไร้ปัญหานักเตะบาดเจ็บ และติดโทษแบน

เท่ากับว่าทีม โครแอต มี อีวาน เปริซิช เป็นคีย์แมนคนสำคัญเช่นเดียวกับ ลูก้า โมดริช ขณะที่ บรูโน่ เพ็ตโควิช ตัวสำรองที่ถูกส่งลงไปแทน อังเดร ครามาริช และซัดประตูตีเสมอ บราซิล เป็น 1-1 ได้ในช่วงท้ายของการต่อเวลาพิเศษจนนำไปสู่การดวลลูกโทษตัดสินยังต้องรอโอกาสของตัวเองในซุ้มข้างสนามตามเดิม

สำหรับ โมดริช ซึ่งติดทีมชาตินัดนี้เป็นนัดที่ 161 สร้างชื่อเป็นนักเตะรายที่สี่ที่มีอายุมากกว่า 37 ปีที่ได้เล่นเป็นตัวจริงในเกม ฟุตบอลโลก ทัวร์นาเมนต์เดียวกันครบหกนัดตามหลัง นิลตัน ซานโต้ส (บราซิล ปี 1962), ดิโน่ ซอฟฟ์ (อิตาลี ปี 1892) และ ปีเตอร์ ชิลตัน (อังกฤษ ปี 1990)

3.เมสซี่ ทุบสถิติ

ในที่สุด  เมสซี่ กัปตันทีม ฟ้าขาว ก็ก้าวขึ้นทาบรัศมี โลธาร์ มัทเธอุส อดีตดาวดังทีมชาติ เยอรมัน ด้วยการเป็นพ่อค้าแข้งลงเล่นเกม ฟุตบอลโลก มากที่สุดเป็นนัดที่ 25 เท่ากันพอดี หากแต่ที่ยังต่างกันก็คือ “ซูเปอร์แมน” ได้ตำแหน่ง “แชมป์โลก” มาครองแล้วเมื่อปี 1990

25 นัด : โลธาร์ มัทเธอุส ,ลิโอเนล เมสซี่

24 นัด : มิโรสลาฟ โคลเซ่

23 นัด : เปาโล มัลดินี่

กระนั้นก็ดี สตาร์วัย 36 ปีซึ่งยิงประตูในเกม ฟุตบอลโลก ให้ประเทศมากที่สุด 10 ลูกเท่ากับ กาเบรียล บาติสตูต้า อดีตกองหน้ายังเป็นรอง ดีเอโก้ มาราโดน่า ตำนานผู้ล่วงลับอยู่หนึ่งแอสซิสต์ในรายการนี้โดย “เสือเตี้ย” มีผลงานทำได้ 8 แอสซิสต์ แต่สุดท้ายดาวเตะทีม ปารีส แซงต์ แขร์กแมง ก็ซัดลูกโทษพาทีมนำหน้า โครเอเชีย ซึ่งทำให้เจ้าตัวแซงนำ “บาติโกล” เรียบร้อยแล้วจากการตะบันในเกม เวิลด์คัพ เป็นประตูที่ 11 และเป็นเม็ดที่ห้าในทัวร์นาเมนต์นี้ นำหน้าเป็นดาวซัลโวสูงสุดร่วมกับ คิลิยัน เอ็มบัปเป้ กองหน้าทีมชาติ ฝรั่งเศส

4.ตาหมากรุก เชิงดีแต่พลาดจนพัง

ว่าถึงรูปเกม โครเอเชีย ข่ม อาร์เจนติน่า ด้วยซ้ำจากการขึ้นเกมรุก และครอบครองบอลได้เหนือกว่า แต่เป็นอย่างที่ สกาโลนี่ ให้สัมภาษณ์ก่อนเกมเป๊ะว่าทีมที่เล่นได้ดีกว่าไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ชนะ

แล้วในที่สุด รองแชมป์เก่าก็ก่อความผิดพลาดกระทั่งถูก อาร์เจนติน่า อาศัยจังหวะฉาบฉวยโต้กลับจนได้ลูกโทษที่พาทีมออกนำในนาทีที่ 34  แถมอีกพักเดียวแค่ห้านาทีให้หลัง ทีม ฟ้าขาว ก็ได้เม็ดสองจากเกมโต้เร็วอีกตามเคยโดยคราวนี้ ฮูเลี่ยน อัลวาเรซ กองหน้าทีม แมนฯ ซิตี้ ที่ทำให้ทีมได้ลูกโทษตะลุยเข้าเขตโทษอีกหนไปคลำเป้าเพิ่มสกอร์เป็น 2-0 โดยเป็นประตูที่ 3 ใน ฟุตบอลโลก ของเจ้าตัวซึ่งยิงได้ 6 เม็ดแล้วจากการลงเล่นเป็นตัวจริงให้แผ่นดินเกิด 8 นัดในทุกรายการ

สำหรับเปอร์เซนต์การครองบอล เป็นเหมือนที่บอกนั่นแหละว่า โครเอเชีย ทำได้ดีกว่าชัดเจน 62:38% แต่โดน อาร์เจนติน่า เล่นงานด้วยหมากเคาน์เตอร์แอ็ทแท็คจนนำมาซึ่งการเสียทั้งสองประตูชนิดที่รวมแล้วทีม ฟ้าขาว ได้ส่องยิง 5 ครั้ง และเข้ากรอบ 4 ครั้ง ขณะที่ทีมจากยุโรปได้ยิง 4 ครั้ง แต่ไม่เข้ากรอบเลย

5.ครึ่งหลัง อาร์เจนฯ ผิวปากลงสนาม

จากสกอร์นำห่าง 2-0 ส่งผลให้ อาร์เจนติน่า ลงสนามด้วยความมั่นใจเต็มกระเป๋า และสามารถเล่นกันได้ด้วยความสบายใจจนแทบจะเตะฟุตบอลไป ผิวปากไปเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครเอเชีย มีบทเรียนจากครึ่งแรกแล้วแต่ไม่ยอมจดจำ และพยายามต่อบอลอย่างชวนเสียวไส้โดยไม่เว้นแม้แต่ในกรอบเขตโทษตัวเองจนเกือบโดนลงดาบหลายครั้ง

กระทั่งนาทีที่ 69 เมสซี่ ก็คายพิษสงแบบไม่มีเม้มด้วยการกระชากบอลขึ้นกราบขวาสลัดหนี ยอสโก้ กวาดิโอล อย่างเหนือชั้นแล้วจ่ายถวายพานทองจากเส้นหลังให้ อัลวาเรซ เข้าฮอสเผาขนเพิ่มสกอร์เป็น 3-0 ซึ่งทำให้กัปตัน อาร์เจนไตน์ แอสซิสต์ใน ฟุตบอลโลก เท่ากับ มาราโดน่า จนได้

ด้าน อัลวาเรซ ซึ่งสร้างผลงานยิงได้ในศึก ฟุตบอลโลก เป็น 4 ประตูแล้วทำให้เขาเป็นดาวเตะ อาร์เจนไตน์ รายที่สองที่มีอายุต่ำกว่า 22 ปีที่สอยตาข่ายในทัวร์นาเมนต์เดียวกันได้สี่ตุงต่อจากที่ กอนซาโล่ อิกวาอีน สร้างผลงานเอาไว้แบบเดียวกันในปี 2010

จบ 90 นาที โครเอเชีย ยังครองบอลได้มากกว่าอย่างมหาศาล 61:39% แถมได้ยิงรวม 12 ครั้ง แต่เข้ากรอบแค่ 2 ครั้งเท่านั้น ขณะที่ อาร์เจนติน่า ได้เข่นทั้งหมด 9 ครั้ง และเข้ากรอบมากถึง 7 ครั้งกระทั่งเป็นฝ่ายลอยลำเข้าชิงชนะเลิศอย่างสมควรเป็นสมัยที่ 6 เท่ากับ อิตาลี และ บราซิล โดยเป็นรองแค่ เยอรมัน ทีมเดียวที่ได้เข้าชิงชนะเลิศ 8 ครั้ง

สำหรับ โครเอเชีย แม้จะอกหัก แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า โดมินิค ลิวาโควิช นายทวารจอมหนึบแจ้งเกิดได้อย่างเต็มตัวโดยถึงตอนนี้เขามีสถิติเซฟไปแล้ว 24 ครั้งมากกว่านายทวารทุกราย และเซฟได้มากที่สุดในเกมเดียว 11 ครั้งนัดบู๊กับ บราซิล จนน่าจะได้ครองรางวัล ถุงมือทองคำ ของทัวร์นาเมนต์เป็นแน่แท้

 

สมัครสมาชิก>>> แทงบอลออนไลน์

ดูบอลสดHD

admin